•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•พฤหัสบดี•ที่ 26 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 14:04 น.• |
พระนางจามเทวีซึ่งเสด็จจากกรุงละโว้มาครองนครลำพูนโดยต้องตัดสินพระทัยสละพระราชสวามีเพื่อกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ในขณะที่ทรงครรภ์อ่อนๆ และก็ได้มาประสูติที่เมืองลำพูนอันเป็นถิ่นกำเนิดของสาวงามในสมัยปัจจุบัน พระนางมีพระชนมายุยืนนานถึง ๙๒ พรรษา พระนางมีราชบุตรแฝดทรงพระนามว่ามหันตยศและอนันตยศ ราชกุมารทั้งสองพระองค์เคยมีชัยชนะในการรบ คือรบกับขุนลัวะ พระนางก็มองราชสมบัติแก่พระราชบุตรทั้งสองให้ครองร่วมกัน แต่เจ้าชายอนันตยศไม่พอพระทัยที่จะครองราชย์สมบัติร่วมกับเชษฐา เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นหน้าที่ของพระนางที่จะต้องแก้ปัญหา ดังนั้นพระนางจึงได้เสด็จไปเฝ้าพระฤาษีทั้งสองคือวาสุเทพกับสุกทันตฤาษี แจ้งความที่เป็นมาให้ทราบ พระฤาษีทั้งสองก็แนะนำให้ไปหาพระสุพรหมฤาษีที่เขาสามง่าม พระนางกับราชบุตรก็เสด็จไปตามคำแนะนำนั้น ให้พรานนำทางไป พอไปถึงแจ้งสารคดีให้ทราบแล้วพระสุพรหมฤาษีก็พาพระนางกับพระราชบุตรไปยังดอยเขลางค์ พระสุพรหมฤาษีก็ให้พระนางกับพระอนันตยศกุมารยับยั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งเรียกกันว่าบ้าน “ข่วงเมง แล้วพระสุพรหมฤาษีก็ขึ้นไปเขาข่วงเมง เล็งแลไปทางด้านตะวันตกแห่งแม่น้ำวังนที ทัศนาการเห็นว่ามีสถานที่เป็นชัยภูมิพอสร้างเมืองได้ ก็เลยเนรมิตรเมืองขึ้นและวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ ณ กลางใจเมือง ที่ตรงนั้นก็ได้ชื่อว่าบ้าน “ผาบ่อง” มาจนทุกวันนี้” เป็นอันว่าพระเจ้าอนัตยศก็ได้ครองเมืองเขลางค์ คือเมืองลำปางเดี๋ยวนี้
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•เสาร์•ที่ 18 •สิงหาคม• 2012 เวลา 22:51 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
จิตวิทยาของเจ้าพ่อชีวิต "อ้าว" |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อาทิตย์•ที่ 22 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 17:44 น.• |
พ่อเจ้าชีวิตอ้าว ท่านเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของเชียงใหม่ กล่าวกันว่ามีพระสุรเสียงห้าวหาญน่าสะพรึงกลัวที่สุด เวลาพระองค์ท่านไม่พอพระทัยอะไรขึ้นมาเพียงแต่เปล่งสุรเสียงออกมาว่า “อ้าว” คำเดียวเท่านั้นก็มีอำนาจพอที่จะทำให้คนที่ได้ยินถึงแก่ขวัญบินเอาง่าย ๆ ทรงมีน้ำพระทัยเด็จขาดและค่อนข้างจะดุร้าย แต่สมัยโน้นใครบ้างที่จะไม่โหดร้าย ใครบ้างที่จะไม่ทรงพระราชอำนาจเหนือเศียรเกล้าประชาชนพลเมือง ยุคนั้นไม่ว่านอกหรือในประเทศล้วนแต่ทรงอำนาจราชศักดิ์เต็มอัตราด้วยกันทั้งนั้น พ่อเจ้าชีวิตอ้าวองค์นี้ความจริงมีพระนามเป็นทางการอีกพระนามหนึ่ง แต่ประชาชนพลเมืองนิยมเรียกคือ “พ่อเจ้าชีวิตอ้าว” พ่อเจ้าชีวิตองค์นี้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ทางเหนือเล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นยักษ์มาเกิดเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่เพราะฉะนั้นจึงมีพระทัยโหดร้าย พ่อเจ้าชีวิตอ้าวอาจมีพระทัยดุร้ายเฉียบขาดแต่พระองค์ท่านก็รักความซื่อสัตย์สุจริตเกลียดความทรยศคดโกงต่างๆว่ากันว่าพระองค์ทรงเป็นตุลาการตัดสินความด้วยพระองค์เอง
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 05 •สิงหาคม• 2012 เวลา 10:22 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อาทิตย์•ที่ 22 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 17:35 น.• |
เพียงประโยคเดียวที่รับสั่งด้วยอารมณ์หญิงเท่านั้น มันมีผลให้ชีวิตของชายหนุ่มพระองค์หนึ่งต้องสิ้นชีวิตไปด้วยคมดาบของนายเพชฌฆาต พร้อมกับสูญเสียโอรสของเจ้าผู้ครองนครหริภุญชัย และหญิงสาวแสนซื่อนางหนึ่งต้องสูญเสียยอดดวงใจของเธอไป สตรีสูงศักดิ์ผู้มีน้ำพระทัยเหี้ยมเกินหญิงผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “เจ้าทิพยเกษร” แห่งนครพิงค์เชียงใหม่ผู้เป็นพระราชธิดาพ่อเจ้าชีวิต “อ้าว” ซึ่งมีราชอำนาจดุจดังพยัคฆ์ร้าย จนเป็นที่เล่าลือกันสืบต่อมาว่า ถ้าคราใดพ่อเจ้าชีวิตทรงแผดพระสุรเสียง “อ้าว” ออกมาแล้ว บรรดาข้าราชการบริพารก็มีอันเป็นเหงื่อกาฬไหลตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความเกรงกลัว ที่ใจอ่อนมากก็ถึงทรุดนั่งลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรงเอาทีเดียว ราชธิดาผู้ทรงพระนามว่า “เจ้าแม่ทิพยเกษร” ผู้นี้ได้อภิเษกสมรสกับบุรุษเชื้อพระวงศ์ ซึ่งทรงพระนามในสมัยขึ้นนั่งเมืองว่า “พ่อเจ้าชีวิตอิทรวิชยานนท์” องค์เดียวกับที่ถวายพระราชธิดาแก่องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแผ่นดินสยาม และพระราชธิดาพระองค์นั้นได้รับพระราชทานตำแหน่งพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 29 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 08:49 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อังคาร•ที่ 10 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 16:37 น.• |
ช้างเจ้าหลวงเมืองลำปาง พลายกุนะเป็นช้างที่ได้ชื่อว่ารู้ภาษาคน แรกที่สุดเป็นช้างของเจ้าหลวงลำปางแล้วทีนี้เจ้าหลวงลำพูนมีไก่ชนตัวหนึ่ง เป็นไก่ชนที่มีชื่อเสียงมาก ชนชนะมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทีนี้เจ้าหลวงเมืองลำปางเกิดอยากได้ไก่ชนตัวนี้ แต่ขอซื้อจากเจ้าหลวงลำพูนทานไม่ยอมขายนอกจากจะขอแลกกับช้างกุนะ ด้วยความที่อยากได้ไก่ของเจ้าเมืองลำพูนมากเลยตอบตกลงยอมแลกช้างกุนะกับไก่ชนตัวนั้น พอเจ้าหลวงลำพูนได้ช้างกุนะมาเป็นของตนแล้วจึงหาควาญช้างมาประจำจะให้เลี้ยงดูเจ้าพลายกุนะ แต่เลือกคนมากี่คน ๆ ก็เลี้ยงเจ้ากุนะไม่ได้ เพราะมันไม่ชอบใจ ในที่สุดก็มีสองผัวเมียบ้านนอคู่หนึ่งขันอาสาเข้ามารับจ้างเลี้ยงดูเจ้าพลายกุนะปรากฏว่าเจ้าพลายกุนะยินยอมเชื่อฟังเป็นอันดี เจ้าหลวงลำพูนจึงได้มอบเจ้าพลายกุนะไปอยู่กับสองผัวเมียที่บ้านนอก โดยให้ค่าจ้างเลี้ยงพอสมควร สองผัวเมียตั้งอกตั้งใจเลี้ยงเจ้าพลายกุนะด้วยความรัก แกรักมันเหมือนลูก เช้าขึ้นเจ้ากุนะเดินโทง ๆ มาที่เรือนของสองผัวเมียยื่นงวงยาวของมันขึ้นไปที่นอกชาน เป็นอันรู้ว่ามันมาขอข้าวกิน นางล่าซึ่งกำลังนึ่งข้าวเหนียวอยู่บนเรือนก็จะร้องบอกกับเจ้ากุนะว่า “ลูกเอ๋ย แม่นึ่งข้าวยังไม่สุกเลย เอาไว้สักครู่หนึ่งถึงค่อยมานะลูกนะ” เจ้ากุนะก็ถอยไปอย่างกับมันรู้ภาษา พอข้าวสุกแล้ว เขาก็เรียกมันมากิน มันกินข้าวทีละมาก ๆ และชอบกินข้าวเหนียวเหมือนคนด้วย
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 22 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 15:39 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•จันทร์•ที่ 09 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 14:38 น.• |
ปี พ.ศ.๒๕๐๓ ได้มีโรงเรียนสอนฟันดาบทางฝั่งธนบุรี จัดละครโทรทัศน์ประวัติศาสตร์ขึ้นโรงเรียนหนึ่ง มีนายทหารชาวนครพิงค์คนหนึ่งมีนามว่า "หาญยอดใจเพชร"อยู่ในรัชสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นนายทหารดาบเขนซึ่งมีฝีมือเป็นเยี่ยม และเหตุที่จะทไให้หาญยอดใจเพชรได้มีชื่อปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ก็เพราะในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเกิดมีกรณีแตกแยกระหว่างพี่น้องขึ้น อันทำให้เกี่ยวเนื่องไปถึงพระเจ้าไสยลือไทยแห่งกรุงสุโขทัยจนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ดังนี้ ครั้งนั้นเมื่อสิ้นพระเจ้าแสนเมืองมาพระชาบิดาแล้ว ราชบุตรสองพระองค์ต่างมารดากันองค์พี่มีนามว่า "เจ้าชายยี่กุมกาม" พระบิดาให้ไปครองเมืองเชียงรายแต่ครั้งมีประชนมายุได้ ๑๕ พรรษา ส่วนองค์น้องนั้นมีนามว่า "เจ้าชายสามฝั่งแกน" เหตุที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะเมื่อพระราชมารดาทรงครรภ์ได้ ๓ เดือน พระราชบิดาได้พาเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่างๆจนถึงเมืองสิบสองพันนาลื้อ จนเวลาล่วงไปได้เจ็ดเดือน กลับมายังพันนาฝั่งแกนจึงได้ประสูติพระกุมาร ณ ที่นั้น ส่วนเจ้าชายยี่กุมกามนั้น ประสูติที่เวียงกุมกามจึงได้ชื่อว่า "ยี่กุมกาม" พอพระเจ้าแสนเมืองมาถึงพิราลัย
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 15 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 08:06 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•ศุกร์•ที่ 29 •มิถุนายน• 2012 เวลา 16:24 น.• |
บ้านร้อยปีเป็นอาคารเก่าสร้างด้วยไม้สัก ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลแพร่คริสเตียน อ. เมือง จ. แพร่ สร้างโดยคณะมิชชั่นลาวในสังกัดคริสตจักรเพรสไบทีเรียนที่สหรัฐอเมริกา (the Laos Mission of the Presbyterian Church in the United States of America) ที่เข้ามาตั้งศูนย์เผยแผ่ศาสนาที่จังหวัดแพร่ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ. ๑๘๙๓) เพื่อเป็นที่พักและสำนักงานของครอบครัวมิชชันนารีที่เข้ามาดูแลงานด้านการเผยแผ่ศาสนา การศึกษา และการพยาบาล ในจังหวัดแพร่ บ้านเก่าในโรงพยาบาลแพร่คริสเตียนและบ้านเก่าในบริเวณศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยถูกย้ายจากศูนย์มิชชั่นเดิมที่บ้านเชตวันมาปลูกในที่ตั้งปัจจุบัน บ้านทั้งสองหลังจึงมีอายุร้อยสิบเก้าปีแล้วใน พ.ศ. ๒๕๕๕ นี้
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•เสาร์•ที่ 30 •มิถุนายน• 2012 เวลา 23:28 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•จันทร์•ที่ 11 •มิถุนายน• 2012 เวลา 14:21 น.• |
“เจ้าในวัง” คำพูดติดปากของคนที่อยู่ในสมัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ท่านเป็นราชบุตรีของพ่อเจ้าชีวิตอินทวิชยานนท์ มารดาคือเจ้าหญิงทิพย์เกสรผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้าวิโลรศสุริยวงศ์นับเป็นผู้สืบสายโลหิตจากพระเจ้าเชียงใหม่โดยตรง เมื่อเล็ก ๆ ทรงมีชื่อรวมกันในพระญาติวงศ์ว่า “เจ้าหญิงอึ่ง” ครั้นเจริญพระชันษาก็ได้รับพระนามจากพ่อเจ้าชีวิตว่า “เจ้าดารารัศมี” พระองค์มีพี่ร่วมอุทรด้วยอีกสององค์แต่สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน เจ้าหญิงจึงเป็นที่สนิทเสน่หาของพ่อเจ้าและแม่เจ้าเป็นอย่างยิ่ง เจ้าหญิงดารารัศมีประสูติเมื่อวันอังคารขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เหนือ ปีระกา ตอนที่เจ้าหญิงดารารัศมีตามเสด็จเจ้าชีวิตอินทวิชยานนท์ผู้บิดาลงไปกรุงเทพฯ ก่อนหน้านั้นเมื่อปี ๒๔๒๖ พ่อเจ้าชีวิตโปรดให้มีงานพระราชทานพระนามและต้องเข้าพิธีโสกันต์ พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าให้พระเจ้าน้องยาเธอฯ เสด็จไปช่วยในงานนี้พร้อมกับนำเอาตุ้มพระกรร ณ กับพระธำมรงค์เพชร มอบให้เป็นของขวัญแก่เจ้าหญิงดารารัศมีในโอกาสนั้นด้วย คงจะเป็นการมั่นหมายไว้ในพระทัยเพราะหลังจากนั้นมาอีกสามปี เจ้าชีวิตอินทวิชัยนนท์ก็เสด็จไปราชการที่กรุงเทพฯ และได้โปรดให้พระราชธิดาเจ้าหญิงดารารัศมีได้เสด็จไปด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสู่ขอต่อพ่อเจ้าชีวิตตอนนั้นโปรดให้ประทับที่พระที่นั่งจักรีในพระบรมมหาราชวัง เจ้าหญิงดารารัศมีจึงได้ถวายตัวตั้งแต่ครั้งนั้น
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 08 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 07:29 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
หนังสือเดินทางของพ่อเจ้าชีวิต |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อาทิตย์•ที่ 10 •มิถุนายน• 2012 เวลา 14:27 น.• |
ทำไมทางทางรถไฟถึงแค่เชียงใหม่ ทำไมไม่สร้างต่อไปให้ไกลจนถึงแม่ฮ้องสอนหรือไปถึงไทยใหญ่กันเลย คำตอบคือไม่รู้ครับเพราะไม่ใช่ผู้บัญชาการรถไฟและไม่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับนโยบายการเมืองในสมัยโน้นแสดงให้เห็นถึงวิธีการของพวกล่าเมืองขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีกลวิธีต่าง ๆ กัน อันที่จริงสมัยนั้นแต่ละประเทศก็มุ่งแสวงหาหาอาณานิคมของตนเองทั้งนั้น เชียงใหม่เผอิญเป็นประเทศราชแห่งหนึ่งซึ่งมีความสำคัญไม่น้อย คือภายหลังจากที่ได้เข้าปกครองพม่าแล้วราวสิบปี ทางรัฐบาลอังกฤษก็ดำริที่จะเปิดการค้าระหว่างพม่ากับเชียงใหม่และเชียงรุ้งซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ของจีนขึ้น จึงได้จัดส่งคนให้ไปสำรวจเส้นทางดังกล่าวโดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์ทางการค้าอย่างมหาศาลถ้าสร้างทางได้สำเร็จ แต่ครั้นแล้วเรื่องก็เงียบไป คงจะมีอุปสรรคอะไรสักอย่างกาลเวลาล่วงไปเนิ่นนานจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๒๒ ฝรั่งเศสได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออก ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายอิทธิพลของอังกฤษ ในแหลมอินโดจีนสมัยนั้น พ่อค้าวาณิชของอังกฤษในพม่าจึงมีความกระตือรือร้นที่จะให้รัฐบาลอินเดียของอังกฤษเปิดเส้นทางบกระหว่างพม่ากับเชียงใหม่ขึ้น ที่คิดกันคือเพื่อป้องกันมิให้สินค้าของท้องถิ่นหลังไหลผ่าไปออกทางเมืองท่าของฝรั่งเศสในแคว้นตังเกี๋ย ซึ่งอาจมีผลกระทบกรเทือนต่อการค้าของอังกฤษได้ ด้วยเหตุนี้คณะพ่อค้าจึงได้ติดต่อขอให้ มร.ฮอลต์ เอส.ฮอลแลตต์ ซึ่งเป็นข้าราชการเก่าเป็นหัวหน้านำคณะเดินทางขึ้นไปสำรวจภูมิประเทศทางลานนาไทยอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเป็นที่มาของเรื่องหนังสือเดินทางของพ่อเจ้าชีวิต ที่ทรงออกให้แก่ฝรั่งนักสำรวจคณะนั้น เพราะว่านายฮอลแลตต์แกต้องไปอาศัยครูแมคกิลวารีให้ช่วยทูลขออนุญาตพ่อเจ้าชีวิต ซึ่งท่านและเจ้านายทางฝ่ายเหนือ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สำหรับพ่อเจ้าชีวิตนั้นไม่ยอมเชื่อว่า
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•เสาร์•ที่ 16 •มิถุนายน• 2012 เวลา 21:05 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
เมื่อเจ้าเชียงใหม่ต้อนรับฝรั่ง |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อาทิตย์•ที่ 20 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 22:39 น.• |
ตอนที่ดร.แดเนียล แมคกิลวารี มิชชั่นนารีคนแรกเดินทางไปถึงเชียงใหม่ เจ้าหลวงเผอิญไม่อยู่ เจ้าหลานชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบแทนไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไรก็เลยหลบไปบ้านนอก แต่ในที่สุดเมื่อเจ้าหลวงกลับมาก็ได้จัดการต้อนรับตามสมควรจนกระทั่งเดินทางกลับ การเดินทางครั้งนั้นถือว่าไปสำรวจเพื่อเตรียมไปทำงานเผยแพร่ต่อไป ต่อมาอีกสามปีจึงได้พากันเดินทางขึ้นไปเป็นคณะ ทั้งนี้โดยทางกงสุลอเมริกันได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ช่วยนำหนังสือขึ้นทูลเกล้าถวายในหลวง ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปิดสำนักขึ้นที่เชียงใหม่ ในหลวงทรงให้คำตอบว่า อำนาจใจเรื่องนี้มิได้อยู่ที่พระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านยังไม่สามารถจะบังคับประชาชนชาวเชียงใหม่ในเรื่องงของมิชชั่นได้ ขณะนั้นเจ้าหลวงก็ยังพักอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าเจ้าหลวงยินยอมรัฐบาลไทยก็ไม่ขัดข้อง เพราะฉะนั้น ขอให้ไปเฝ้าพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งในหลวงโปรดเกล้าให้พนักงานไปด้วยคนหนึ่ง เพื่อจะได้กลับไปรายงานกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ดังนั้นหมอแดเนียลกับคณะจึงพากันไปที่ท่าน้ำซึ่งกระบวนเรือของเจ้าเชียงใหม่จอดอยู่ ในเช้าวันเสาร์ พระเจ้ากาวิโลรศพระเจ้าเชียงใหม่ ก็แต่งกายแบบพื้นเมืองตามสบายของท่าน คือนุ่งผ้าแต่ไม่สวมเสื้อ มีผ้ายี่โป้พาดบ่า มีไม้ถืออันเล็ก ๆ ออกมาต้อนรับนายแพทย์ชาวอเมริกันที่ท่าน้ำ...
|
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
เจ้าหญิงเชียงใหม่กับกุลวาขาว |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อาทิตย์•ที่ 20 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 14:07 น.• |
พระเจ้ากาวิโลรศพระเจ้าเชียงใหม่มีราชบุตรีสององค์ทรงนามว่า เจ้าหญิงทิพเกสร กับเจ้าหญิงอุบลวรรณา เจ้าหญิงทั้งสองทรงคุ้นเคยกับดร.แดเนียล แมคกิลวารี เป็นอย่างดีดังได้เคยเล่าให้ฟังบทความก่อนหน้า ดังนั้น ตอนที่หมอแดเนียลขึ้นไปเชียงใหม่ ก็หวังพึงเจ้าหญิงว่าคงช่วยเพ็ดทูลเจ้าพ่อของเธอ เพื่อเป็นแนวทางแก่การก่อสร้างสถานีเผยแพร่ศาสนาแต่ไป แต่มีผลไม่มากเพราะเจ้าหญิงก็ไม่ได้ทรงอำนาจเด็ดขาด เพียงแต่รับปากว่าผู้ถือศาสนาคริสเตียนจะไม่ถูกข่มเหงเบียดเบียนแต่อย่างใด แต่เรื่องหนานชัยกับหนานน้อยสัญญาเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่เจ้าหญิงจะทรงช่วยได้ เพราะสองคนนั่นละเมิดคำสั่งของเจ้าชีวิต
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•เสาร์•ที่ 02 •มิถุนายน• 2012 เวลา 23:27 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•อาทิตย์•ที่ 20 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 14:02 น.• |
สุภาพบุรุษผิวขาวผู้สูงอายุนั้น เป็นสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์สำหรับชาวนครพิงค์ยิ่งนักเขามีรูปร่างอันสูงใหญ่ มีเครายาวสีทอง มีดวงตาสีน้ำเงินแกมเทาอ่อนๆเต็มไปด้วยแววความปราณี ศีรษะล้านเถิกเข้าไป แต่สวนหลังยังมีปอยผมสีทองปกคลุมอยู่มากและมีผิวเนื้อเป็นสีชมพูเรื่อไปทั้งตัว จมูกโด่งแหมเป็นของุ้ม ไม่มีส่วนใดที่จะคล้ายคลึงกับ “คนเมือง” ทั่วไปแม้แต่น้อย มันเป็นวันหนึ่งในฤดูร้อนขณะที่เรือใหญ่สองลำบรรทุกบุคคลแปลกหน้ารวมทั้งสัมภาระถูกบังคับให้ลอยทวนน้ำมาขึ้นบกที่เกาะน้อยทางทิศใต้ของนครพิงค์เชียงใหม่สองบุรุษสตรีผู้มาจากถิ่นไกลได้ก้าวขึ้นจากเรือเหยียบลงแผ่นดินซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วยปณิธานอันแน่วแน่และพลังใจอันแข็งแกร่งที่จะต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อศาสนกิจของ “พระผู้เป็นเจ้า”
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 20 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 14:15 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
อเมริกันคนแรกที่ไปเชียงใหม่ |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•ศุกร์•ที่ 18 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 17:02 น.• |
สมัยก่อนระยะทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ต้องใช้เวลาเดินทางถึงสามเดือน อเมริกันถึงกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง ๑๐๐ วันก็ถือว่าเก่งที่สุดแล้วท่านเขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ามาอยู่ในกรุงเทพฯแล้ว ดูราวข้าพเจ้าหลับไป แล้วตื่นขึ้นมาอยู่ในโลกใหม่ ... ในกรุงเทพฯ ที่ซึ่งข้าพเจ้าหวังจะยึดเป็นภูมลำเนาของข้าพเจ้าต่อไป” ดร.แดเนียล แมคกิลวารี สุภาพบุรุษนักบุญอเมริกันคนแรกที่ไปเชียงใหม่ผู้กล่าว หรือที่ชาวเมืองชอบเรียกกันว่าพ่อครูเฒ่าและเป็นผู้ที่มีส่วนเปลี่ยนแปลงโฉมหน้านครเชียงใหม่อยู่ไม่น้อย นอกเหนือจากงานเผยแพร่ศาสนาแล้วยังมีอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกเป็นอันมาก หมอแมคกิลวารีและภรรยาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้านายเชียงใหม่สมัยโน้นแล้วเขียนไว้ในบันทึก ทำให้เราได้ทราบถึงจริยาวัตรของเจ้านายเชียงใหม่บางพระองค์สมัยโน้น ใครโง่ ใครฉลาด ใครมีแนวคิดเห็นเป็นอย่างไรต่อความเจริญแผนใหม่ ก็จะได้รู้จากบันทึกของท่าน ในปี ค.ศ. ๑๘๕๘ ซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๐๑ ที่นายแพทย์หนุ่มโสดชาวอเมริกันเดินทางมาถึงสยามประเทศ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ซึ่งขณะนั้น หมอบลัดเลย์ได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพก่อนแล้ว หมอบลัดเลย์มีที่พักอยู่ใกล้ ๆ กับวัดอรุณราชวราราม และก็ที่ลานวัดอรุณชาวบ้านทั่วไปแรกว่าวัดแจ้ง ก็เป็นที่พักจอดเรือของเจ้านายทางเชียงใหม่พร้อมทั้งบ่าวไพร่บริวารที่เดินทางมาเยือนพระนครหลวง จากความพยายามของหมอบลัดเลย์พวกเจ้าจึงได้เข้าไปรู้จักสนิทสนมกับเจ้านายฝ่ายเหนือได้ไม่ยากนัก พยายามเป็นเพื่อนที่ดี เชื้อเชิญให้ไปเที่ยวโรงพิมพ์และที่บ้าน ปลูกฝีให้เมื่อท่านเหล่านั้นต้องการจะปลูก และแล้วก็เลยเล่าถึงกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ตอนนั้นตรงกับการปกครองของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยุคที่เริ่มคบหากับฝรั่ง
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•เสาร์•ที่ 19 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 08:57 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•ศุกร์•ที่ 11 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 20:40 น.• |
พญาจ่าบ้านคนนี้มีศักดิ์เป็นน้าชายเจ้ากาวิละ และเป็นผู้ต้นคิดชักชวนให้เจ้ากาวิละกระทำการกอบกู้อิสรภาพจากการปกครองของพม่า เพราะความเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกพม่ากดขี่ข่มเหงประชาชนตามวิสัย “ใครมาเป็นเจ้าปกครอง คงจะต้องบังคับขับไส” ขณะที่ทางกรุงศรีอยุธยาก็ถูกกองทัพอันเกรียงไกรของอะแซหวุ่นกี้รุกเข้าตีแตก เผาผลาญบ้านเมือง กวาดต้อนเอาครอบครัวและทรัพย์สมบัติไปเป็นอันมาก ทางเชียงใหม่ก็หวานอมขมกลืนอยู่ใต้อำนาจของพม่าอย่างน้ำตาตกใน เมื่ออภัยคามินีที่ครองเมืองเชียงใหม่ถึงแก่กรรม โป่มะยุง่วนที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า “โป่หัวขาว” เพราะชอบโพกศีรษะด้วยผ้าขาว ได้มาครองเมืองเชียงใหม่แทน โป่หัวขาวผู้นี้โหดร้ายใจอำมหิตชอบกดขี่ทำทารุณกรรมต่อชาวเมืองอยู่เสมอจึงเกิดปะทะกันขึ้นบ่อย ๆ ระหว่างชาวเมืองเชียงใหม่ผู้รักษาเกียรติศักดิ์เสรี ดังเช่นครั้งแรกก็มีจักกายน้อยพรม ซึ่งหาญเข้าปะทะกับพม่ากลางเมืองกระทั่งตัวเองต้องถึงแก่ชีวิตในการต่อสู้ ครั้งที่สองก็คือพญาจ่าบ้านปะทะกับโป่มะยุง่วนในขณะที่ตัวเองอยู่ในสภาพเปรียบเหมือนลูกแกะน้อยที่อยู่ในอำนาจของราชสีห์ การต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลางเมืองครั้งนั้น พญาจ่าบ้านเป็นฝ่ายแพ้และนีไปหาโป่สุพลาที่เมืองล้างช้างพร้อมกับทหารคู่ใจจำนวนหนึ่ง “ตอนนั้นกองทัพไทยก็ตั้งอยู่ที่กำแพงเพชรแต่การจะหนีไปแค่กำแพงเพชร พญาจ่าบ้านท่านก็คงคิดแล้วว่าโป่มะยุง่วนคงไปตามจับตัวได้แน่ๆจึงตัดสินใจหนีไปหาโป่สุพลา ซึ่งโป่มะยุง่วนยำเกรงมากพอไปอยู่กับโป่สุพลาไม่นานพระเจ้าตากสินก็ยกกองทัพเข้าไปประชิดเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๓๑๔ ทรงตั้งค่ายล้อมอยู่ได้ ๙ วันก็ถอยทัพกลับไป
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อังคาร•ที่ 15 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 10:05 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
วีรบุรุษกาวิละ (ตอนกู้อิสรภาพ) |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•เสาร์•ที่ 28 •เมษายน• 2012 เวลา 14:35 น.• |
ฝ่ายเจ้าคำโสมและพี่น้อง พอทราบข่าวว่าพม่าจับตัวบิดาไปจำคุกไว้ก็ตกใจเกรงว่าพม่าจะฆ่าเจ้ากาวิละให้คิดอ่านแก้ไขแต่เจ้ากาวิละกลับบอกว่า ข้าศึกก็เป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกัน เราจะยกทัพไปรบกับมันส่วนบิดาเรานั้นหากว่าบุญเรามีก็คงได้พบกันหากว่าบุญไม่มี ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเถิด นับว่าเจ้ากาวิละเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าเรื่องส่วนตัว แล้วเจ้ากาวิละก็เร่งเตรียมทัพไปต้อนรับทัพกรุศรีอยุธยาแต่เจ้าคำโสมผู้น้องเป็นห่วงบิดาอยู่ ก็จัดสิ่งของเครื่องบรรณาการแต่งผู้คนที่ฉลาดในการเจรจาไปยังเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับจดหมายถึงโป่มะยุง่วนฉบับหนึ่งมีใจความว่า เจ้ากาวิละเกิดทะเลาะกับจักกายศิริจอสูถึงกับฆ่าฟันกันนั้น ก็เพราะเจ้ากาวิละวิกลจริต พวกข้าพี่น้องทั้งหกหารู้เห็นเป็นใจด้วยไม่ ขออย่าทำโทษฆ่าบิดาของข้าพเจ้าทั้งหกเลย โป่มะยุง่วนก็ให้งดลงอาญาเจ้าฟ้าชายแก้วแต่ให้เอาตัวจำคุกไว้ก่อน ขณะนั้นกองทัพไทยยกมาถึงลำปางแล้ว เจ้ากาวิละจึงแต่งให้เจ้าดวงทิพย์ผู้น้องออกไปรับทัพไทยก่อน ส่วนตัวเจ้ากาวิละนำเสบียงอาหารออกไปต้อนรับทัพหลวงแล้วนำกองทัพหลวงแล้วนำกองทัพหลวงมายังเชียงใหม่ โดยเดินทัพมาทางดอยดินแดงและดอยบา เพื่อสมทบกับกองทัพของพระยากำแพงเพชรและพระสุระที่พญาจ่าบ้านนำขึ้นมา
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•ศุกร์•ที่ 04 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 19:05 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•พฤหัสบดี•ที่ 26 •เมษายน• 2012 เวลา 16:35 น.• |
“กาวิละ” ผู้ซึ่งเป็นต้นตระกูล ณ เชียงใหม่ผู้มีบทบาทมากที่สุดในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพ้นจากการปกครองของพม่า วีรกรรมของ “พญากาวิละ” ที่ได้กอบกู้อิสรภาพของล้านนาไทยไว้ได้ กระทั่งได้มารวมกับไทยกลางจนทุกวันนี้ นับตั้งแต่พระยาสุละวะนาไชยสงคราม (ทิพช้าง) ได้ทำการขับไล่ข้าศึกคือท้าวมหายศแตกกระเจิงไปแล้ว ก็ได้ครองเมืองลำปางแทนพ่อเมืองคนเก่า พระยาสุละวะ ฯ มีบุธิดารวมหกคนกับเจ้าแม่พิมมะลาผู้ภริยา บุตรชายคนหนึ่งชื่อ “ชายแก้ว” หรือ “ฟ้าชายแก้ว” เจ้าชายแก้วผู้นี้คือบิดาของเจ้ากาวิละ
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•ศุกร์•ที่ 11 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 20:45 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|
ศรีวิไจยโข้ ผู้มีมโนภาพอันบรรเจิด |
|
|
|
•เขียนโดย Administrator•
|
•วัน•เสาร์•ที่ 21 •เมษายน• 2012 เวลา 19:30 น.• |
“อนาถจิตคิดไปไม่ประจักษ์ ทรลักษณ์ตาทะเล้นไม่เห็นหน เดินก็ได้พูดก็ดังชั่งวิกล มามืดมนนัยน์ตาบ้าบรม” เพชรเม็ดงามของชาวแพร่ ด้วยความเป็นกวีที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่กำเนิด ศรีวิไจย (โข้) มีชื่อเดิมว่า “ศรีไจย” เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ ณ บ้านสีลอ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของเจ้าน้อยเทพ และนางแก้ว เทพยศ ชาวบ้านมักจะเรียกท่านว่า ศรีวิไจยโข้ บางทีก็เรียกว่า “พ่อต๋า” ภรรยาคนแรก ชื่อ นางตุ่น มีบุตร ๒ คน ชีวิตวัยเด็ก ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ๔ – ๕ พรรษา ณ วัดศรีบุญเรือง จังหวัดแพร่หลังจากนั้นลาสิกขาบทออกมา แล้วได้แต่งกาพย์ธรรมะ ซึ่งพรรณนาถึงความทุกข์ของคน ชื่อว่า “กาพย์ฮ่ำตุ๊ก” แต่เดิมท่านประกอบอาชีพค้าจนกระทั้งภรรยาคนแรกเสียชีวิตลง จึงได้นำบุตรชายไปฝากพี่สาวอุปการระ ส่วนตัวเองเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดน่าน กระทั่งล้มป่วยด้วยกามโรค จึงกลับมาอยู่จังหวัดแพร่ แล้วต่อมานัยน์ตาท่านก็บอด เมื่ออายุ ๒๕ ปีชีวิตต่อจากนั้น ท่านได้รับจ้างเขียนค่าว – ฮ่ำ อย่างเดียว แต่ปัญหาผู้ว่าจ้างท่าเขียนค่าว – ฮ่ำ ต้องนั่งจดตามคำบอก จึงทำให้ผู้อยากได้บทกวีแต่ไม่มีเวลาต้องเสียโอกาส ท่านศรีวิไจย (โข้) จึงได้ภรรยามาเป็นคู่ชีวิต คู่ทุกข์คู่ยากของท่านคนหนึ่งชื่อ “จันทร์สม” เป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เลวนักและคุณสมบัติอันประเสิรฐยิ่งยากที่จะหาได้ในสตรีสมัยนั้นก็คือ จันทร์สมผู้นี้เป็นคนมีความรู้ในทางเขียนอ่านคล่องแคล่วเป็นพิเศษสามารถถ่ายทอดบทกวีที่กลั่นกรองจากสมองของท่านจอมกวีออกมาเป็นตัวอักษร ทั้งเจ้าหล่อนก็คงจะเป็นคนหนึ่งซึ่งซาบซึ้งในมธุรสพจน์ประพันธ์ของท่านกวีศรีวิไจยโข้
|
•แก้ไขล่าสุด ใน •วัน•อาทิตย์•ที่ 22 •เมษายน• 2012 เวลา 10:06 น.•• |
•อ่านเพิ่มเติม...•
|