“กาวิละ” ผู้ซึ่งเป็นต้นตระกูล ณ เชียงใหม่ผู้มีบทบาทมากที่สุดในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพ้นจากการปกครองของพม่า วีรกรรมของ “พญากาวิละ” ที่ได้กอบกู้อิสรภาพของล้านนาไทยไว้ได้ กระทั่งได้มารวมกับไทยกลางจนทุกวันนี้ นับตั้งแต่พระยาสุละวะนาไชยสงคราม (ทิพช้าง) ได้ทำการขับไล่ข้าศึกคือท้าวมหายศแตกกระเจิงไปแล้ว ก็ได้ครองเมืองลำปางแทนพ่อเมืองคนเก่า พระยาสุละวะ ฯ มีบุธิดารวมหกคนกับเจ้าแม่พิมมะลาผู้ภริยา บุตรชายคนหนึ่งชื่อ “ชายแก้ว” หรือ “ฟ้าชายแก้ว” เจ้าชายแก้วผู้นี้คือบิดาของเจ้ากาวิละ

พอเจ้าพระยาสุละวะฯ ถึงแก่พิราลัย ท้าวลิ้นก่านบุตรพ่อเมืองคนเก่าซึ่งไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่ประตูผา ประตูผาที่ว่านี้อยู่ที่เส้นทางระหว่างลำปาง – เชียงราย เดี่ยวนี้มีศาลเจ้าพ่อประตูผาที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ ณ ปัจจุบัน ท้าวลิ้นก่านเข้ามาตีเอาเมืองคืน เจ้าชายแก้วกับเจ้าน้องชายสู้ไม่ไหวก็แตกหนี อพยพครอบครัวมาอยู่เมืองแพร่ ซ่องสุมผู้คนได้แล้วก็ยกไปตีเมืองลำปางคืน แต่สู้ท้าวลิ้นก่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเสียน้องชายไปในที่รบอีก เจ้าชายแก้วแตกหนีไปหาพม่าชื่อ โป่อภัยคามินี ซึ่งครองเมืองเชียงใหม่อยู่ในขณะนั้นตอนหลังเจ้าเมืองลำพูนคิดแข็งข้อต่อพม่า คุมพลขับไล่โป่อภัยคามินีแตกหนีไปยังเมืองอังวะ เลยพาเอาเจ้าชายแก้วไปด้วยต่อมา เจ้าอังวะยกพลมาตีเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง โดยให้เจ้าชายแก้วคุมพลมาด้วย กองทัพพม่าตีเมืองหล่านี้แตกเลยให้เจ้าชายแก้วครองเมืองลำปาง และเจ้ากาวิละบุตรชายกับเจ้าดวงทิพย์คุมพลเมืองลำปางสมทบกับกองทัพพม่ายกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้ราชธิดาเจ้าเวียงจันทน์ส่งไปถวายเจ้าเมืองอังวะ ทีนี้ก็มีเจ้าเมืองลำพูนชื่อพระยาเมืองไชย คิดแข็งเมืองกับพม่าอีก โป่อภัยคามินีสู้ไม่ไหวทิ้งเมืองเชียงใหม่ เอาตัวเจ้าชายแก้วไปด้วยอีก หนีออกทางประตูช้างเผือกไปยังกรุงอังวะ พระเจ้ากรุงอังวะก็ให้อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพชราชาวพม่ายกทัพใหญ่ เพื่อมากวาดล้างกำลังของเจ้าแว่นแคว้นล้านนาไทยให้ราบเป็นหน้ากลองเมื่อตีเมืองได้แล้ว ก็ตั้งขุนนางพม่าขึ้นครองเมืองเพื่อป้องกันมิให้ชาวเมืองรวมกำลังกันได้ ล้านนาไทยตกอยู่ใต้อำนาจพม่าอีกครั้งนั้นเนิ่นนานมาก เป็นโอกาสให้พม่านำเอาวัฒนธรรมมาเผยแพร่หลายอย่าง และมีการบังคับให้รับเอาอย่าง เช่นให้พวกผู้ชายสักขาดำ แล้วให้ผู้หญิงเจาะหูเป็นรูกว้างเอาทองมาทำเป็นแผ่นบาง ๆ ม้วนเหมือนเราม้วนกระดาษใหญ่กว่ามวนบุหรี่สอดเข้าไปในรูที่เจาะไว้ ตอนหลังเลยกลายเป็นแฟชั่น วัดวาอารามก็มีมากที่เป็นแบบพม่า อาหารการกินก็พลอยมีรสแบบพม่าเข้ามาปะปน เพราะพวกเขามาอยู่นาน ระหว่างนั้นมีการปะทะกันเรื่อย โดยพวกที่รักชาติเมื่อได้รับการกดขี่เพิ่มขึ้นก็ลุกฮือกันขึ้นต่อสู้ ต่อก็ถูกปราบปรามเรื่อยเพราะกำลังน้อย ทีนี้ พวกพม่าก็แต่งทัพยกไปตีกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐

ลุปี ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทำการสู้รบพวกพม่าที่รักษากรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ พระองค์ได้กรีธาทัพหลวงขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่พวกพม่าได้ต่อสู้ป้องกันเมืองเป็นสามารถกองทัพไทยตั้งล้อมอยู่ ๙วันก็ถอยกลับ ในพงศาวดารกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชดำรัสว่า “อันเมืองเชียงใหม่นี้ ต้องคำทำนายอยู่ กษัตริย์องค์ใดยกไปตีครั้งเดียวแล้วมิได้ ต่อยกไปเป็นครั้งที่สองแล้วจึงตีได้” ทีนี้ฝ่ายพม่าเห็นกองทัพอยุธยาถอยกลับก็แต่งทัพตีทัพหลัง แต่ถูกกองคุ้มกันตีโต้แตกกลับเข้าเมือง พอกองทัพอยุธยายกไปแล้ว โป่มะยุง่วนเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ให้คนไปเรียกโป่สุพลาซึ่งไปครองเมืองล้านช้างกลับมาช่วยป้องกันเมืองเชียงใหม่ ทำให้พญาจ่าบ้านซึ่งหลบหนีไปเมื่อครั้งทะเลาะกับโป่มะยุง่วนถึงกับสู้รบกันกลางเมืองต้องติดตามากับโป่สุพลาด้วย โป่สุพลามีความโกรธที่ทราบว่าอยุธยายกทัพมารุกราน จึงคิดจะยกทัพไปตีเมืองพิชัย แขวงเมืองอุตรดิตถ์เดี๋ยวนี้ พญาจ่าบ้านเห็นช่องทางที่จะปลีกตัวออกจากพม่าได้ ก็ลอบให้คนสนิทไปติดต่อเจ้ากาวิละซึ่งครองเมืองลำปาง เจ้ากาวิละมีศักดิ์เป็นหลานพญาจ่าบ้าน เจ้ากาวิละก็ปรึกษาหารือกับน้องทั้งหมด ทุกคนเห็นด้วยแล้วก็ตอบพญาจ่าบ้านมาว่ายินดีร่วมมือ ขอให้พญาจ่าบ้านผู้เป็นน้าชาย ไปชักชวนกองทัพไทยขึ้นมา หากกองทัพไทยยกมาวันใดกองทัพลำปางก็จะยกเข้าโจมตีพม่าวันนั้น เมื่อนัดหมายกันเป็นที่ตกลงแล้ว ก็ทำกลอุบายลวงโป่สุพลาว่า หนทางที่จะยกกองทัพเรือไปตีไทยนั้นเป็นแก่งหินผา มีสวะและไม้ซุงกีดขวางไม่สะดวกแก่การเดินทาง ขออาสาไปแผ้วถางทางให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อนโป่สุพลาก็เชื่อ มอบพลพม่าและเงี้ยวให้เจ็ดสิบคนไปช่วย พญาจ่าบ้านก็พาพวกนี้ไปถึงเมืองฮอด พักนอนแรมคืนในป่า ครั้นใกล้สว่าง พญาจ่าบ้านกับไพร่พลชาวเชียงใหม่ ๕๐ คน ก็ฆ่าพวกพม่าและไทยใหญ่ตายสิ้นทั้ง ๗๐ คน แล้วรีบเดินทางไปหาพระยาจักรี (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ซึ่งตั้งทัพอยู่เมืองกำแพงเพชร เจ้าพระยาจักรีจึงนำเข้ากราบทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้พญาจ่าบ้านนำกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ ฝ่ายเมืองเชียงใหม่ทราบว่าพญาจ่าบ้านหักหลังก็ให้โป่มะยุง่วนยกกองทัพไปคอยตั้งรับทัพไทยที่ตำบลท่าวังตาลใต้เมืองเชียงใหม่ เมื่อกองทัพไทยยกไปถึงที่นั้น ยังไม่พร้อมเพียงกันดี จึงถูกกองทัพโป่มะยุง่วนตีแตกพ่ายไป ฝ่ายพระเจ้ากาวิละกับเจ้าน้องทั้งหมด ทราบว่ากองทัพไทยยกมาแล้วก้แต่งอุบายลวงพม่า โดยให้เจ้าคำโสมคุมพลพม่ากับไทยใหญ่ไปตั้งรับไทยนอกเมือง ส่วนภายในเมืองคงเหลือกองทหารพม่าใต้บังคับบัญชาของจักกายศิริจอสูแต่เพียงเล็กน้อยกับกองทหารของเจ้ากาวิละครั้นพอตกค่ำลงเจ้ากาวิละก็แกล้งเสพสุราทำเป็นมึนเมา แล้วคุมทหารร่วมใจเข้าฆ่าฟันทหารพม่าและไทยใหญ่และเจ้าจักกายศิริจอสูจนถึงแก่ความตาย พวกที่รอดตายก็หนีไปหาเจ้าคำโสม เจ้าคำโสมก็พูดแก้ไขว่าเจ้ากาวิละเคยเป็นบ้าเสียสติคุ้มดีคุ้มร้าย ที่ฆ่าฟันพวกพม่าก็คงเป็นเพราะเหตุนั้นมิได้คิดขบถต่อพม่าหรอก แล้วถึงหากจะคิดเช่นนั้น เจ้าคำโสมกับพี่น้องคงไม่เข้าร่วมด้วยเด็ดขาด เพราะเจ้าฟ้าชายแก้วผู้บิดาถูกโป่มะยุง่วนคุมตัวไว้เป็นประกันอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว แต่พม่าที่เหลือตายมิได้เชื่อถือคำแก้ตัวนั้น พอตกกลางคืนก็พากันหลบหนีจากเมืองลำปาง นำความไปแจ้งโป่สุพลาและโป่มะยุง่วนทราบ โป่มะยุง่วนจึงให้เอาตัวเจ้าฟ้าชายแก้วไปพันธนาการจำคุกไว้

•แก้ไขล่าสุด• ( •วัน•ศุกร์•ที่ 11 •พฤษภาคม• 2012 เวลา 20:45 น.• )